TEL : 06-234567-55 ถึง 59 LINE :@sc.club

ประวัตินักเตะซุบเปอร์สตาร์ ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ กูซิตินิ

เมสซี่ หรือชื่อเต็ม ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ กูซิตินิ (Lionel Andrés Messi Cuccittini) นักเตะดาวรุ่งที่สร้างชื่อในการแข่งขันฟุตบอลมานับไม่ถ้วน ยึดตำแหน่งกองหน้าของสโมสร บาร์เซโลน่าและเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถ นอกจากทีม บาร์เซโลน่า ที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงแล้ว เมสซี่ยังเล่นให้กับทีมชาติของตัวเองด้วย คือทีมชาติ อาร์เจนติน่า และเป็นนักเตะตัวสำคัญของทีม ทำให้แบกภาระหนักเพื่อที่จะคว้าชัยชนะในแต่ละนัด ซึ่งเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ทำให้ทีม อาร์เจนตินา มักจะตกรอบแรก ในการแข่งขันฟุตบอลโลก

ประวัติส่วนตัวของ ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ กูซิตินิ

ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะชาว อาร์เจนติน่า ปัจจุบันอายุ 32 ปี เกิดวันที่ 24 มิถุนายน 1987 ที่โรงพยาบาล อิตาเลียโนการิบัลดิ เมืองโรซาริโอ รัฐซานตาเฟ หลังจากคบหากับคนรักของเขานานกว่า 10 ปี ได้ตัดสินใจแต่งงานกับ อันโตเนลลา รอกกุซโซ ในวันที่ 30 มิถุนายน 2017 พวกเข้าได้มีบุตรด้วยกัน 3 คน ได้แก่

ติอาโก้ เมสซี่ : ลูกคนโต ซึ่งไม่มีความชอบกีฬาฟุตบอลเหมือนพ่อของเขาสักเท่าไหร่

มาเตโอ เมสซี่ : ลูกคนรอง อนาคตยังไม่แน่ว่าจะชื่นชอบกีฬาฟุตบอลเหมือนพ่อหรือไม่ เพราะปัจจุบันนี้มีอายุเพียงแค่ 4 ขวบ เท่านั้น

ชิโร เมสซี่ : ลูกคนเล็ก ที่กำลังเป็นลูกรักของเขา เพราะเป็นคนล่าสุด มีอายุเพียง 1 ชวบ

โดยงานแต่งงานของเขาจัดขึ้นที่ โรงแรมพูลแมนซิตี้เซ็นเตอร์ โรซาริโอ ถือว่ามีความหรูหราอย่างมาก ซึ่งได้เชิญแขกมาร่วมงานเพียง 260 คนเท่านั้น ล้วนแล้วเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอล มีการดูแลความปลอดภัยอย่างดี โดยมีเจ้าหน้าที่ของโรงแรม และบริษัทรักษาความปลอดภัยของเอกชน เพิ่มอีก 2 บริษัท โดยมีการปิดพื้นที่และเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยบริเวณรอบโรงแรมอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามา นอกจากสื่อข่าวต่างๆ ที่มีการลงทะเบียนไว้ แต่จะต้องอยู่ในขอบเขตที่จัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น หลังจากจบงานแล้ว เมสซี่ได้เดินออกมาทักทายแก่สื่อข่าวทุกคน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และกล่าวคำสั้นๆ ว่า งานได้ดำเนินการไปด้วยดี โดยที่ไม่ได้ให้คำสัมภาษณ์อื่นๆ โดยเมสซี่และภรรยา ได้กล่าวแก่ทุกคนที่เข้ามาร่วมงานว่า ของขวัญทุกอย่างที่ทุกท่านเตรียมมา ขอไม่รับ แต่อยากให้แขกทุกท่านร่วมบริจาคการกุศลแทน โดยมีองค์กรต่างๆ ดังนี้ องค์กร TECHO, มูลนิธิ Flexer, มูลนิธิ Garrahan และ โรงพยาบาล Sant Joan de Déu เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานของเขาแทน

ประวัติการเริ่มเล่นฟุตบอลของ ลิโอเนล เมสซี่

เมสซี่ เริ่มเล่นฟุตบอลในวัย 5 ขวบ ให้กับสโมสรท้องถิ่นอย่าง กรันโดลี ในปี 1998 ได้ย้ายไปสโมสรนิวเวลส์โอลด์บอยส์ ในระยะเวลา 6 ปี ที่อยู่กับ นิวเวลส์โอลด์บอยส์ เมสซี่ได้เป็นนักเตะตัวสำคัญของทีม ตั้งแต่เขาได้ร่วมทีมมาเขาเกือบจะช่วยให้ทีมทำสถิติการแข่งขันที่ไม่มีวันแพ้ ทุกนัดการแข่งขันที่ได้ลงแข่งขันด้วย เมสซี่มักจะโชว์ลีลาการเล่นฟุตบอลให้ผู้คนที่รับชมได้สนุกตื่นเต้นอยู่ตลอด แต่ปัญหาทางร่างกายก็เกิดขึ้นกับเขาในวัย 10 ขวบ คือการขาดฮอร์โมน ทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายช้ากว่าปกติ ซึ่งอาการของเขาเป็นปัญหาต่อครอบครัวอย่างมาก เพราะต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่เกินกำลังทรัพย์ของครอบครัว ญาติของเมสซี่ได้ส่งคลิปบันทึกการเล่นฟุตบอลให้กับ สโมสรบาร์เซโลน่า และได้รับความสนใจอย่างมาก จึงเข้าช่วยเหลือทันทีด้วยการดึงตัวเซ็นสัญญามาร่วมทีม ในขณะนั้นเป็นตำนานและเรื่องเล่าจนถึงทุกวันนี้ เพราะเซ็นสัญญาด้วยกระดาษเช็ดปาก โดยมีข้อเสนอว่าให้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศ สเปน พร้อมเสนอที่จะช่วยรักษาเมสซี่ ทางครอบครัวจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ สเปน ในปี 2001 ขณะนั้น เมสซี่ มีอายุเพียง 13 ปีได้เริ่มเล่นให้กับสโมสรบาร์เซโลน่าในชุดเยาวชน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

ในช่วงครึ่งปีแรกที่ได้ร่วมเล่นให้กับทีมเยาวชน ของสโมสรบาร์เซโลน่า เป็นเรื่องยากสำหรับเขา ด้วยการปรับตัวและเรื่องอื่นๆ ทำให้ไม่สามารถร่วมลงการแข่งขันอย่างเป็นทางการได้ ด้วยเจ้าตัวไม่ได้รับสัญชาติยุโรป ทำให้เขาเล่นได้แต่การแข่งขันกระชับมิตรและรายการแข่งขันกาตาลาลีกเท่านั้น จึงเป็นแรงกดดันเขาอย่างมาก รวมไปถึงเรื่องที่พี่น้องของเขาได้ย้ายกลับไปเมืองเกิดที่ อาร์เจนติน่า ทำให้เขาต้องอยู่กับพ่อเพียง 2 คน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับตัวเข้ากับผู้คนได้ โดยตัวของเขาเป็นคนที่มีนิสัยเงียบๆ ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ทำให้มีปัญหาเรื่องของการเข้าสังคม ในปี 2002 เมสซี่ก็ได้รับการลงทะเบียนเป็นนักเตะอาชีพเต็มตัว ทำให้สามารถร่วมลงการแข่งขันได้ทุกนัดและทุกรายการ ขณะนั้นเขาได้ปรับตัวได้ดีขึ้น และเริ่มพูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น เพื่อนที่ร่วมสร้างชื่อเสียงแล้วเติบโตมาด้วยกันคือ เซสก์ ฟาเบรกัส (Cesc Fabregas) และฌาราร์ ปิเก (Gerard Piqué)

เมื่ออายุได้วัย 14 ปี การรักษาตัวของเมสซี่ก็ทำได้สำเร็จ เมสซี่มีฮอร์โมนการเจริญเติบโตเหมือนคนอื่นๆ ในขณะนั้นเดียวกันได้สร้างชื่อเสียงกับการลงแข่งขัน เบบี้ ดรีมทีม ทีมเยาวชน และยังได้รับการยกย่องให้เป็นทีมเยาวชนที่ดีที่สุดในตอนนั้น เขาได้ลงแข่งขันในฤดูกาลแรก 2002-2003 ด้วยการลงเล่นครบทุกนัด เมสซี่สามารถยิงประตู 36 ลูก ในการแข่งขันทั้งหมด 30 นัด จนได้รับรางวัล ดาวซัลโวประตูสูงสุด ในการแข่งขันทีมเยาวชน ระหว่างวัย 14-15 ปี ในการแข่งขันครั้งนั้นได้คว้าถ้วยให้ทีม ถึง 2 ถ้วย ได้แก่ ถ้วยเยาวชนสเปนและอีกหนึ่งถ้วยก็คือ ถ้วยกาตาลาคัพ ซึ่งเป็นที่มาของ นักเตะใส่หน้ากาก ด้วยการแข่งขันครั้งก่อน เมสซี่ ได้รับอุบัติเหตุ กระดูกโหนกแก้มแตก ทำให้ต้องใส่เครื่องป้องกันก็คือหน้ากาก นั้นเอง แต่เจ้าตัวได้ถอดออกและคว้า 2 ประตูให้กับทีม ก่อนจะถูกเปลี่ยนออก เมื่อฤดูกาลจบลง สโมสรอาร์เซนอล ได้เห็นแวว จึงยืนข้อเสนอให้ไปอยู่ด้วยกัน แต่เจ้าตัวได้ปฏิเสธและขออยู่บาร์เซโลน่า ต่อ แต่เพื่อนของเขา เซสก์ ฟาเบรกัส (Cesc Fabregas) และฌาราร์ ปิเก (Gerard Piqué) ได้ตกลงและตอบรับคำ

ประวัติการแข่งขัน

การแข่งขันฤดูกาล 2003-2004

สำหรับการแข่งขันฤดูกาลนี้ ถือว่าเป็นปีที่ 4 ของเขาที่ลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่า ซึ่งเขาไต่ระดับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และได้เข้าร่วมเล่นให้กับทีมเยาวชนของ บาร์เซโลน่า ถึง 5 ทีมพร้อมทำสถิติให้กับทีม ภายในการแข่งขันฤดูกาลเดียว

โดยเขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม ก่อนที่จะลงแข่งขันทีมเยาวชนรุ่น อายุ 16-18 ปี ในการแข่งขัน Tournament 4 ประเทศ ในช่วงพรีซีซั่น เขาได้ลงแข่งขันร่วมกับทีม B 1 นัด ก่อนที่จะเลื่อนระดับ ไปร่วมกับทีม A ซึ่งได้สร้างประตูให้กับทีมได้อย่างประทับใจ ด้วยการลงแข่งขัน 11 นัด ยิงประตูไปได้ถึง 18 ประตู ทำให้เจ้าตัวตัวถูกเรียกไปซ้อมกับชุดใหญ่อยู่เสมอในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 16 ปี ทำให้ผู้คนต่างจับตาดูเด็กคนนี้ แต่เด็กคนนี้ทำให้ผู้ใหญ่ในทีมได้ทำฟาวล์เป็นจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการยิงประตูของ เมสซี่ เขาได้สร้างความอึ้งให้กับเซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงของทีมบาร์เซโลน่า โดยการลากลูกขึ้นไปและเลี้ยงหลบ 4 นักเตะ ได้อย่างมหัศจรรย์

ลิโอเนล เมสซี่ ได้มีโอกาสลงเป็นตัวจริงให้กับชุดใหญ่ของบาร์เซโลน่า ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2003 ในตอนนั้นเขามีวัยเพียง 16 ปี โดยลงแข่งขันในนัดกระชับมิตร ปะทะกับสโมสรปอร์โต้ ขณะนั้น โชเซ มูรีนโย เป็นผู้คุมทีม ในนาทีที่ 75 เขาได้ถูกเรียกให้ลงสนาม เกือบทำประตูให้กับทีมได้ถึง 2 ประตู สร้างความประทับใจให้กับทีมอย่างมาก หลังจากการแข่งขันครั้งนั้น เข้าได้รับโอกาสให้เข้าฝึกซ้อมกับทีมสำรองชุดใหญ่ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ซึ่ง รอนัลดีนโย นักเตะอันดับหนึ่งของสโมสร ได้กล่าวเมื่อได้เห็นการฝึกซ้อมของ เมสซี่ ว่า เด็กคนนี้จะเป็นผู้เล่นที่เก่งและมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

หลังจากการแข่งขันที่ผ่านมาเขาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นและถูกส่งไปเล่นกับทีมสำรองทีม C ของบาร์เซโลน่า ได้ลงแข่งขันจริงเป็นครั้งแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2003 เป็นตัวสำคัญในทีมอย่างมาก ซึ่งช่วยให้ทีมรอดจากการตกรอบในการแข่งขัน ลีกที่ 3 ซึ่งเขาสามารถทำประตูให้กับทีมเขาถึง 5 ประตู ใน 10 นัด และยังมีผลงานทำแฮตทริก ในการแข่งขันถ้วยสแปนิชคัพ อีกด้วย แม้จะถูกประกบในนัดที่เจอกับเซบิยา แต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่อุปสรรคในการทำประตู

ที่ผ่านมาเขาถูกยืมตัวไปเล่นให้หลากหลายทีม ในสโมสรบาร์เซโลน่า ทำให้ค่าตัวของเขาเพิ่มสูงขึ้นและเปลี่ยนชีวิตเขาทันที เพราะเขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรก โดยมีค่าตัวสูงถึง 30 ล้านยูโร ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2004

สโมสรได้เปิดตัวเขาครั้งแรก ในวันที่ 6 มีนาคม 2004 โดยเล่นให้กับทีมสำรอง ทีม B ซึ่งทำให้ค่าตัวของเขาพุ่งขึ้นไปถึง 80 ล้านยูโร แต่ลงได้เพียง 5 เกมเท่านั้น เนื่องจากการลงเล่นกับชุดใหญ่ ซึ่งแตกต่างกับทีมเยาวชนที่เคยเล่นมา ทำให้ตัวของเขาดูเล็กไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัยหรือเรื่องกล้ามเนื้อ เขาเสียเปรียบอย่างมาก เขารู้ตัวว่าต้องทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอและเพิ่มกล้ามเนื้อของตัวเองเพื่อจะไปปะทะกับคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าได้ แม้ว่าเขาลงเล่นให้ทีมสำรอง B ได้ไม่เต็มที่ แต่เขาก็สามารถช่วยเล่นให้ทีมเยาวชน B จนคว้าชัยชนะในลีกไปได้

การแข่งขันฤดูกาล 2004-2005

ในการแข่งขันฤดูกาลนี้เขาได้ฝึกซ้อมและพัฒนาตัวจนได้เข้าร่วมเล่นเป็นตัวจริงกับชุดใหญ่ ทีม B ในปี 2004 มีการปรับทีมครั้งใหญ่ เพื่อให้ เมสซี่ ได้ลงตำแหน่งที่แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ โดยตำแหน่งที่เขาได้รับคือ ปีกขวา สามารถตัดบอลเข้ากลางและยิงด้วยซ้ายที่เค้าถนัด

วันที่ 16 ตุลาคม 2004 เขาได้ลงเล่นในการแข่งขันลีกเกมแรก เจอกับ แอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล ซึ่งเขามีรายชื่อเป็นตัวสำรองและเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุด เขาถูกเปลี่ยนลงสนามในนาที 82 ในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี เท่านั้น ถือว่าเป็นสถิตินักเตะอายุน้อยสุดในสโมสร แต่แล้วสถิติก็ถูกทำลายโดย โบยาน เกอร์กิช ซึ่งมีอายุน้อยกว่า เมสซี่ 3 ปี

วันที่ 1 พฤษภาคม 2005 เมสซี่ได้แสดงความสามารถให้กับผู้คนเห็นด้วยการทำประตูแรก ในการแข่งขันกับ สโมสรฟุตบอลอัลบาเซเต้ บาลอมเป้ และทำสถิติใหม่ นักเตะอายุน้อยที่สุดที่สามารถทำประตูให้กับทีม บาร์เซโลน่า ในการแข่งขันลาลิกา และแล้วสถิติของเขาก็ถูกทำลายลง โดยเพื่อนร่วมทีม โบยาน เกอร์กิช ในปี 2007

การแข่งขันฤดูกาล 2005-2006

ในปี 2005 เขาได้เซ็นสัญญาเข้าเล่นกับทีมใหญ่อย่างเต็มตัว ระยะสัญญาจะอยู่ถึง ปี 2012 ทำให้ค่าตัวพุ่งสูงขึ้นไปเป็น 150 ล้านยูโร และเป็นที่จดจำของผู้คนในวันที่ 24 สิงหาคม 2005 นัดแข่งขันกระชับมิตร เจอกับ สโมสรยูเวนตุส เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงกับทีมใหญ่ของ บาร์เซโลน่า ครั้งแรก การเล่นครั้งนั้นโชว์ลีลาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้แฟนบอลข้างสนามต่าง สนุกสนานในการดูการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้ การลงของเขาทำให้ ฟาบีโอ กาเปลโล ผู้จัดการทีมของยูเวนตุส สนใจเป็นอย่างมากถึงขั้นยืนข้อเสนอค่าตัว 3 เท่า แต่เมสซี่ก็เลือกที่จะอยู่กับทีมที่สร้างเขามาอย่าง บาร์เซโลน่า

ลิโอเนล เมสซี่ ถูกปรับเปลี่ยนสัญญาเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 16 กันยายน 2005 โดยครั้งนี้เขาได้เล่นกับทีมบาร์เซโลน่าในฐานะตัวจริง โดยมีระยะเวลาของสัญญาถึงเดือน มิถุนายน 2014 ในช่วงแรกๆ เมสซี่ มีปัญหาการเล่นฟุตบอลที่สเปนเพราะเรื่องสัญชาติของตัวเขา จนวันที่ 26 กันยายน 2005 เขาได้รับสัญชาติเป็นคนสเปนเต็มตัว ได้ลงเป็นตัวจริงในทีม บาร์เซโลน่าและสวมเสื้อเบอร์ 19 รับตำแหน่ง ปีกขวา ตัวรุก โดยเปิดตัวในการแข่งขันลีกสเปน ลาลีกา ครั้งแรกของฤดูกาล วันที่ 27 กันยายน 2005 โดยเจอกับ อูดิเนเซ่

หลังจากที่เขาได้ลงเล่นในครั้งนั้นทำให้เขาสามารถยึด ตำแหน่ง ปีกขวา ตัวรุก ด้วยการเล่นกับตัวรุกอย่าง รอนัลดีนโย และ ซามุแอล เอโต นักเตะมีชื่อในทีม บาร์เซโลน่า เขาได้ทำประตูให้กับทีมบาร์เซโลน่า ด้วยการยิง 5 ประตู ในการแข่งขันลีก 17 เกม และทำประตูในการแข่งขัน แชมเปียนส์ลีก อีก 1 ประตู รวมทั้งหมด 6 ประตู แต่เขาเกิดบาดเจ็บมีปัญหากล้ามเนื้อฉีกที่ต้นขา ในการแข่งขัน บาร์เซโลน่า เจอกับ เชลซี ทำให้ฤดูกาลแข่งขันของเขาจบลงในวันที่ 7 มีนาคม

การแข่งขันฤดูกาล 2006-2007

ในฤดูกาล 2006-2007 เขาได้ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า ทีมใหญ่ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน สามารถยิงประตูไปทั้งหมด 14 ประตู ในการลงแข่งขัน 26 เกม แต่เขาได้รับบาดเจ็บในนัดที่เจอกับ เรอัล ซาราโกซา ทำให้กระดูกฝ่าเท้าแตกไม่สามารถลงเล่นได้ การพักฟื้นร่างกายของเขาใช้เวลา 3 เดือน กลับมาเล่นให้กับทีมบาร์เซโลน่า ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ในนัดที่เจอกับ ราซินเดซันตันเดร์ โดยลงเล่นในฐานะตัวสำรอง ซึ่งเขาได้ลงเล่นในครึ่งหลังของเกม ชื่อของเขาได้ถูกนำไปชิงรางวัล บัลลงดอร์ จากนักเตะ 50 คน เขาได้รับผลโหวตเป็นอันดับที่ 20 ในรายชื่อที่ลงชิงรางวัลทั้งหมด เขาเป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดอีกด้วย

ในการแข่งขัน เอล กลาซิโก วันที่ 11 มีนาคม เมสซี่สามารถทำแฮตทริก ในการแข่งขันนัดนี้ ช่วยให้ทีมเสมอกับ เรอัล มาดริด ในสกอร์ 3-3 แม้ทีมจะเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ได้รับการยกย่องให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยม ด้วยการทำแฮตทริก ทำให้ผู้คนได้รู้จักชื่อของ ลิโอเนล เมสซี่ มากขึ้น แถมยังเป็นนักเตะดาวรุ่งในวัยเพียง 19 ปี ที่ทำ 3 ประตูในการแข่งขันใหญ่ เกม เอล กลาซิโก

เมสซี่สร้างประตูให้กับตัวเองมากขึ้น โดยทำทั้งหมด 11 ประตู จาก 14 นัด จนทำให้ทุกคนมักจะรู้จักชื่อเขาในนามนักเตะซุปเปอร์สตาร์ ไม่ว่าจะเป็นการทำประตูหรือส่งลูกให้เพื่อนร่วมทีม เขายังถูกเปรียบเทียบกับ มาราโดนา ทีมชาติ อาร์เจนติน่า หลายคนกล่าวว่า เมสซี่ มีชื่อเสียงพอๆ กับ มาราโดนา นักเตะในตำนาน ซึ่งวันที่ 18 เมษายน 2007 ได้โชว์ฟอร์มยิงประตูถึง 2 ลูก ในรายการแข่งขันฟุตบอล โกปาเดลเรย์ ในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการเจอกับ สโมสรเฆตาเฟ โดยการทำประตูของเขาคล้ายคลึงกับลูกในตำนานที่ มาราโดนา ได้สร้างไว้ในปี 1986 โดยมีการตั้งชื่อการทำประตูในครั้งนั้นว่า ประตูแห่งศตวรรษ ทำให้นึกถึงการทำประตูของ มาราโดนา ในครั้งนั้น แถมการวิ่งไปที่ยังธงข้างสนาม ก็ยังเหมือนกัน จึงทำให้หลายๆ คน พูดกันปากต่อปากว่า เมสซี่ จะเป็น มาราโดนา คนที่สองหรือไม่

การแข่งขันฤดูกาล 2007-2008

ในการแข่งขันฤดูกาล 2007-2008 เมสซี่ สามารถพาทีม ขึ้นไปอยู่ อันดับ 4 ในรายการ ลาลีกา ด้วยการยิง 5 ประตู วันที่ 19 กันยายน ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก สามารถคว้าชัยชนะให้กับทีม ด้วยการชนะ ลียง 3-0 เขาได้ยิง 1 ประตู นัดที่เจอกับ เซบีย่า ทำ 2 ประตูและอีก 2 ประตู คว้าชัยชนะเหนือ เรอัล ซาราโกซ่า 4-1 อีก 1 ประตู ในนัดเจอกับ เลบันเต้ อูเด ในศึกแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล ยิงเพิ่มอีก 2 ประตู ในเกม สตุ๊ตการ์ท

ลิโอเนล เมสซี่ รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ปี 2007 (FIFA World Player of the year) จากเสียงโหวต เป็นอันดับ 2 และรับรางวัล บัลลงดอร์ อันดับ 3 ในปี 2007 หนังสือพิมพ์สเปน มาร์กา ได้ตีพิมพ์ให้ เมสซี่ เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก หนังสือพิมพ์ของสเปน เอลมุนโดเดปอร์ติโบ และ สปอร์ต ได้กล่าวว่า รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในทวีปยุโรปแห่งปีควรเป็นของ เมสซี่

การแข่งขันฤดูกาล 2008-2009

ในฤดูกาลนี้ บาร์เซโลน่า ได้ขาดตัวรุกอย่าง รอนัลดีนโย ไปเนื่องจากย้ายออกจากทีม เมสซี่ จึงได้เสื้อเบอร์ 10 แทน ในนัดที่เจอกับทีม ชักตาร์ โดเน็ตส์ก ยิงได้ 2 ประตู สามารถพลิกผันเกม คว้าชัยชนะให้กับทีม 2-1 นัดที่พบกับ อัตเลติโกเดมาดริด ทำไป 1 ประตู รวมถึงลูกที่ส่งให้เพื่อนร่วมทีมได้ทำประตู ชัยชนะเลยเป็นของบาร์เซโลน่า ในสกอร์ 6-1 หลังจากนั้นเขายังทำประตูในนัดที่เจอกับ เซบีย่า ถึง 2 ประตู ช่วงเปิดฤดูกาล 2008 ทำประตูที่ 2 ให้กับทีม บาร์เซโลน่า เอาชนะทีม เรอัล มาดริด ไปได้ 2-0

รางวัลนักเตะแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Player of the year) 2008 เมสซี่ได้รับผลโหวต 678 คะแนน ทำให้เป็นอันดับที่ 2 ต่อมาเมสซี่ทำแฮตทริกแรกในปี 2009 ในการแข่งระหว่างบาร์เซโลนากับอัตเลติโกเดมาดริดโดยจบไปที่สกอร์ 3 – 1 และในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2009 นัดที่บาร์เซโลนาพบกับราซินเดซันตันเดร์ ซึ่งเมสซี่ได้ลงเป็นตัวสำรองโดยครึ่งแรกบาร์เซโลนาได้ถูกนำอยู่ 1 – 0 หลังจากที่เมสซี่เปลี่ยนลงสนามในครึ่งหลังก็แผลงฤทธิ์ทันทีด้วยการยิงถึง 2 ประตูทำให้ทีมได้ชัยชนะไปครอง

ในช่วงที่ใกล้จบฤดูกาลบาร์เซโลนาได้ไปเอาชนะเรอัลมาดริด ถึงในบ้านด้วยสกอร์ 6 – 2 ถือเป็นการเสียประตูสูงที่สุดของเรอัลมาดริด เป็นประตูรวมที่ 36 ของเขาในการแข่งทุกรายการ หลังจากที่ทำประตูได้ เขาได้วิ่งไปที่หน้าเหล่ากองเชียร์และกล้อง ซึ่งได้ทำการถอดเสื้อบาร์เซโลนาเพื่อให้เห็นตัวหนังสือที่เขียนไว้ด้านในที่อ่านว่า Síndrome X Fràgil ซึ่งเป็นภาษากาตาลาที่แปลได้ว่า กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะบาง (Fragile X syndrome) ที่เขากำลังให้การสนับสนุนเด็กที่กำลังป่วยจากโรคดังกล่าว

เมสซี่ถือเป็นกำลังสำคัญในศึกที่บาร์เซโลนาพบกับเชลซี ในรอบรองชนะเลิศซึ่งอยู่ในระหว่างที่นักเตะอย่าง อันเดรส อินิเอสตา บาดเจ็บ ในการแข่งเขาได้ทำการเลี้ยงบอลขึ้นไปก่อนที่จะส่งให้อันเดรส อินิเอสตา ปิดสกอร์ให้บาร์เซโลนาชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ วันที่ 13 พฤษภาคม พาทีมคว้าถ้วยรางวัลโกปาเดลเรย์เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ 27 พฤษภาคม เป็นนัดที่บาร์เซโลนาพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่กรุงโรม อิตาลี จบเกมบาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 2 – 0 ประตู ด้วยการเล่นท็อปฟอร์มของเมสซี่สามารถทำประตูที่ 2 บาร์เซโลนาได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และเป็นผู้เล่นอายุน้อยสุดในประวัติการณ์ที่ทำประตูได้ถึง 9 ประตู


การแข่งขันฤดูกาล 2009–2010

เมื่อการแช่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2009 จบลง ทางโค้ช ชูเซบ กวาร์ดีโอลา ได้มองว่าเมสซี่เป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา จึงได้ทำการต่อสัญญาใหม่กับเมสซี่ไปจนถึงปี 2016 ด้วยสัญญา 250 ล้านยูโร เมสซี่จึงเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวแพงที่สุดในลาลีกา รายได้ต่อปีของเมซี่อยู่ที่ราว 9.5 ล้านยูโร หลังจากต่อสัญญาได้ 4 วัน เมสซี่ก็ได้ทำผลงานยิง 2 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ ในนัดที่พบกับราซินเดซันตันเดร์ ทีมชนะไป 4 – 1 เป็นคนแรกที่ยิงประตูสำหรับถ้วยยุโรปฤดูกาลนี้

ในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2009 เมสซี่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป (บัลลงดอร์) ด้วยคะแนนสูงสุด นิตยสารฟรองซ์ฟุตบอล ได้ลงคำพูดของเมสซี่ที่กล่าวไว้ว่า “ผลงานในครั้งนี้ผมขอมอบให้กับครอบครัวของผม เพราะพวกเขาจะอยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่ผมต้องการกำลังใจ”

ในวันที่ 19 ธันวาคม เมสซี่ช่วยให้ทีมบาร์เซโลนาสามารถคว้าฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2009 ด้วยการยิงประตูชัยให้กับทีมในช่วงต่อเวลาพิเศษในนัดที่พบกับเอสตูเดียนเตส ลา พลาต้าจบสกอร์ไปที่ 2 – 1 คว้าถ้วยที่ 6 ในปีนี้ สร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับสโมสรโดยเป็นสโมสรแรกที่ชนะทุกรายการที่เข้าร่วม รวมถึงได้รับรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า (FIFA World Player of the Year) ปี 2009 ถือเป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่ได้รางวัลนี้อีกด้วย

ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2010 ศึกเหย้าพบกับอาร์เซนอลในรายการแชมเปียนส์ลีกรอบก่อนรอบสุดท้าย นัดที่ 2 เมสซี่ได้ทำ 4 ประตู ในนัดเดียวถือเป็นครั้งแรกของเขาในสายบอลอาชีพ ซึ่งเขายังครองตำแหน่งผู้เล่นที่ทำประตูได้มากที่สุดในรายการแชมเปียนส์ลีก ถัดมาในวันที่ 8 พฤษภาคม ในการแข่งฤดูกาลลาลีกา เมื่อจบฤดูกาลเมสซี่ได้ทำประตูรวมทั้งหมด 34 ประตู แซงหน้าโรนัลโด บราซิลที่ทำได้ 32 ประตูในฤดูกาล 1996–97 แต่ไม่สามารถทำลายสถิติของผู้เล่นในตำนานอย่างเทลโม ซาร์ราที่ทำไว้ 38 ประตู ได้

การแข่งขันฤดูกาล 2010-2011

เมสซี่ทำแฮตทริกตั้งแต่เปิดฤดูกาลในเกมที่เจอกับทีมเซบีย่าในรายการซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาและชนะไปด้วยสกอร์ 4-0 ถือว่าเป็นถ้วยแรกของฤดูกาลนี้อีกด้วย หลังแพ้ในนัดแรกมาด้วยสกอร์ 1-3 เมสซี่ยังคงพบกับปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเขาเจ็บข้อเท้าและไม่สามารถลงเล่นได้เป็นเวลา 6 เดือน หลังจากที่เมสซี่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วเขากลับมาลงสนามอีกครั้งในเกมที่เจอกับทีมเอร์เรเซเดมายอร์กา ผลที่ออกมาคือเสมอกันไป 1-1 ส่วนในเกมยูฟ่าเปี้ยนส์ลีกทำได้ 1 ประตู เล่นในบ้านตัวเองเจอทีมโคเปนเฮเกน ยังคงเป็นชัยชนะของบาร์ซ่าที่สกอร์ 2-0 หลังจากที่หายจากอาการบาดเจ็บเมสซี่ก็ยิงอย่างต่อเนื่อง ในลาลีกานัดที่เจอกับทีมอูเดอัลเมริอา เจ้าตัวกดแฮตทริกได้และเป็นประตูที่ 100 ในลีก ก่อนหน้านี้เขายิงไป 9 นัดติด ถ้ารวมเกมกระชับมิตรกับทีมชาติบราซิลด้วยก็จะเป็น 10 นัดติดต่อกัน

เมสซี่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์ 2010 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันซึ่งเป็นเมสซี่ที่คว้ารางวัลนี้มาครองด้วยการเอาชนะนักเตะเพื่อนร่วมทีมอินิเอสตาและชาบิ อีก 2 วันต่อมาเจ้าตัวได้รับรางวัลกับการยิงแฮตทริกแรกของปี แถมเป็นแฮตทริกที่ 3 ของฤดูกาล ต่อมาไม่ถึงอาทิตย์ในเกมที่เจอกับทีมเอร์กูเลส บาร์เซโลน่าได้ทำสถิติใหม่ด้วยการเอาชนะติดต่อกันมากที่สุดถึง 16 ครั้ง หลังจากจบเกมที่ทีมเอาชนะอัตเลติโกเดมาดริด 3-0 ที่สนามกัมนอว์ หลังจบทีมเอาชนะอัตเลติโกเดมาดริด 3-0 ที่สนามกัมนอว์ เมสซี่ได้พูดว่า “ผมรูสึกเป็นเกียรติในการทำลายสถิติที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับอัลเฟรโด ดี สเตฟาโน มันเป็นสถิติที่ทำได้ยากเนื่องด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายในบางนัดแต่เราก็สามารถทำได้ในที่สุด”

ปิดท้ายฤดูกาล 2010-11 ได้เป็นอย่างดีในเกมนัดแรกศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกเจ้าตัวยังร้อนแรงไม่เลิกด้วยการทำ 2ประตู นัดที่เจอทีมเรอัลมาดริด จบลงด้วยชัยชนะ 2-0 เมสซี่พาทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 6 ปี และเป็นสมัยที่ 4 ของสโมสรบาร์เซโลน่าอย่างยิ่งใหญ่


การแข่งขันฤดูกาล 2011-2012

เปิดตัวในฤดูกาล 2011-12 ในรายการซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา เมสซี่ได้ทำประตูไป 3 ลูก และจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมยิงอีก 2 ลูก ผลคือบาร์ซ่าเอาชนะเรอัลมาดริดไปได้ 5-4 เป็นการเริ่มต้นฤดูกาลที่ดีเยี่ยมอีกครั้ง ส่วนของรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในนัดแรกของฤดูกาลเมสซี่ยิงอีก 2 ลูกและเป็นคนที่สองในประวัติศาสตร์ของบาร์ซ่าที่สามารถยิงประตูได้สูงสุดเทียบกับลัสโซล คูบาลา ที่ยิงไป 194 ลูก ในทุกการแข่งขันอย่างเป็นทางการ

ถัดมาเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่เมสซี่คว้าได้ในปี 2011 นั้นก็คือรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมยุโรปของฟีฟ่า และมีผู้ท้าชิงคือ ชาบี รวมถึงคริสเตียโน โรนัลโด ทำให้เจ้าตัวเป็นนักเตะคนที่ 4 ที่ได้รับรางวัลนี้ถึง 3 ครั้ง ในลาลีกาเขาลงเล่นเจอกับทีมบาเลนเซียเป็นนัดที่ 200 ในชีวิตการค้าแข้งของเมสซี่ เกมนี้ยิงไป 4 ลูก ผลออกมาเป็นบาร์ซ่าชนะไป 5-1 วันที่ 20 มีนาคม เป็นเกมที่บาร์ซ่าเจอกับ ทีมกรานาดา แล้วก็เป็นนัดที่เขาได้ประตู 3 จำนวนประตูที่ทำได้ในครั้งนี้ทำให้แซงหน้าตำนานอย่างเซซาร์ โรดรเกซ อัลบาเรซ ที่ทำเอาไว้ 232 ลูก ต่อมาเมสซี่ยิงแฮตทริกในเกมที่เจอกับทีมมาลากา และเป็นการทำลายสถิติของแกร์ด มุลเลอร์ ที่ทำได้ 67 ลูกในปี 1972-73 ซึ่งเมสซี่ทำได้ 68 ลูก แล้วเขายังเป็นผู้เล่นที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของยุโรปใน 1 ฤดูกาลอีกด้วย

การแข่งขันฤดูกาล 2012–2013

เมสซี่ยิงประตูที่ 301 ในนัดที่บุกไปเยือนบ้านราโยบาเยกาโน ในวันที่ 27 ตุลาคม 2012 ประตูรวมทั้งหมดจากการแข่งขัน 419 นัด โดย 270 ประตูนั้นทำได้ตอนที่เล่นอยู่ในทีมบาร์เซโลนา ส่วนที่เหลือ 31 ประตูทำตอนที่เล่นให้กับทีมชาติอาร์เจนตินา เมสซี่ได้ประตูเพิ่มอีก 2 ประตูในนัดเยือนมายอร์ก้า ทำให้เขาครองสถิติดาวยิงประตูสูงสุดตลอดกาลด้วยการทำ 76 ประตูภายใน 1 ปี นำหน้าเปเล่ ที่ทำได้ 75 ประตู 9 ธันวาคม 2012 นัดเยือน เรอัลเบติส เมสซี่ได้ยิง 2 ประตู จึงเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลใน 1 ปี ที่ทำได้ 86 ประตู โดย 74 ประตูตอนที่เล่นให้กับบาร์เซโลนาและ 12 ประตูตอนที่เล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินา สามารถแซงหน้าเกิร์ด มุลเลอร์ไปได้ ครองอันดับที่ 1 ได้สำเร็จ ก่อนจะจบปี 2012 เมสซี่ก็ได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาที่ 91 ประตู

7 มกราคม 2013 ได้มีการโหวตรายชื่อนักเตะเพื่อรับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ปีที่ 3 ซึ่งเมสซี่ได้รับผลคะแนนสูงสุด ทำให้เขาได้รางวัลนี้ 3 ปีติดต่อกัน และเขายังได้รับรางวัลบาลงดอร์ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน ทำให้เมสซี่ได้รับเลือกเป็น 1 ใน FIFA FIFPro World XI เป็นทีมแห่งปี

6 กุมภาพันธ์ 2013 ได้มีการทำสัญญาใหม่ระหว่างเมสซี่กับสโมสร ส่งผลให้สัญญามีอายุยืดออกไปถึง 30 มิถุนายน ปี 2018 และในสัญญาฉบับใหม่นี้ยังได้ระบุค่าฉีกสัญญาสูงถึง 250 ล้านยูโร 30 มีนาคม 2013 ในนัดเยือนเซลตาบิโก เมสซี่ได้ประตูในนัดนั้นเป็นการทำประตูติดต่อกันนัดที่ 19 ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของเขา แซงหน้าเจ้าของเดิมอย่าง ทีโอดอร์ เปเตเร็ค ที่ทำไว้ 16 นัด

11 พฤษภาคม 2013 เรอัลมาดริดลงเตะเสมอกับอัสปัญญ็อล ส่งผลบาร์เซโลนาเป็นแชมป์ลาลิกาโดยปริยาย โดยเหลือการแข่งอีก 4 นัด และนัดต่อมาเมสซี่ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อขาขวาจนทำให้ต้องออกจากการแข่งขันที่บาร์เซโลนาไปเยือนอัตเลติโกเดมาดริด ส่งผลให้ไม่ได้ลงเล่นในนัดที่เหลือ จึงต้องหยุดสถิติยิงการทำประตูติดต่อกันของเขาไว้ที่ 21 นัด แต่ถึงแม้เมสซี่จะไม่ได้แข่งในนัดที่เหลือ เขาก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาในฤดูกาลนี้อยู่ดีโดยทำไปทั้งหมด 46 ประตู และได้รับรางวัลปิชิชิ กับรองเท้าทองคำเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน

การแข่งขันฤดูกาล 2013-2014

เช่นเดิมเมสซี่เริ่มต้นทำแฮตทริกแรกของฤดูกาลเป็นการไปเยือนทีมบาเลนเซีย ส่งผลให้ตัวเขาเป็นนักเตะที่ยิงประตูนอกบ้านมากที่สุดของประวัติศาสตร์ลาลีกาด้วยจำนวนประตู 100 ลูก ซึ่งสถิติเดิมคือ อูโก ซานเชซ ทำได้ 99 ลูก ถัดมาในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ทีมบาร์เซโลน่า พบกับ ทีมอาเอฟเซ อายักซ์ เกมนี้เขาทำประตูได้ 3 ลูก แล้วนั้นทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ 4 ครั้งเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก

15 กุมภาพันธ์ 2014 บาร์ซ่าเปิดรับการมาเยือนของทีมราโยบาเยกาโน เมสซี่ยิง 2 ลูก และเป็นการทำลายสถิติของตำนานทีมอัตเลติกเดบิลบาโอด้วยจำนวนประตู 335 ลูก เมสซี่ทำได้ 337 ลูกให้กับต้นสังกัดในเกมนั้น

สำหรับฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่เมสซี่มีอาการบาดเจ็บถึง 4 ครั้งในรอบ 8 เดือน แล้วต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 8 อาทิตย์ แต่เขาก็ยังทำประตูให้กับทีมได้ถึง 41 ลูกทุกการแข่งขันและ 28 ลูกในลาลีกาสเปน ทำให้เมสซี่ยังเป็นอันดับ 2 ของทำเนียบดาวยิงสูงสุดของลีกลาลีกาในฤดูกาลนี้ ได้ทำลายสถิติมากมาย รวมถึงเป็น 1 ใน 3 ของผู้ท้าชิงรางวัลฟีฟ่าบาลงดอร์


การแข่งขันฤดูกาล 2014-2015

27 กันยายน 2014 เจ้าตัวทำได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับทีมกรานาดาในบ้าน โดยยิงเกิน 400 ลูก ด้วยอายุเพียงแค่ 27 ปี ลงสนามไป 524 นัด แบ่งเป็นลงรับใช้ทีมชาติอาร์เจนตินา 42 ลูก และในสโมสรบาร์เซโลน่า 359 ลูก ทำแอสซิสต์ไป 201 ครั้ง

เมสซี่กลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลีกลาลีกา สเปน คนใหม่ ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2014 เป็นนัดที่บาร์เซโลน่าเจอกับทีมเซบีย่า โดยครั้งนี้เขากดแฮตทริกไปทำให้เขาสะสมประตูรวมได้ 253 ลูกเป็นการทำลายสถิติเก่าของ เตลโม ซาร์รา ตำนานของทีม อัตเลติกเดบิลบาโอที่ทำไว้ 251 ลูก

รายการยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก 6 พฤษภาคม 2015 รอบ 4 ทีมสุดท้าย เจอกับทีมบาเยิร์น มิวนิค นัดนี้ตัวเขาทำประตูได้ 2 ลูก กับ 1 แอสซิสต์ ประตูที่สองของเมสซี่ได้รับเลือกเป็น Goal The Season ของยูฟ่า ส่งผลให้แซงหน้า คริสเตียโน โรนัลโด ขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกของฤดูกาลนี้อย่างสวยงาม จนถึงรอบชิงชนะเลิศเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ทีมบาร์เซโลน่าเจอกันทีมดังจากอิตาลียูเวนตุส ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมสซี่ยังโชว์ฟอร์มพาทีมคว้าชัยชนะเหนือยูเวนตุสได้ในรอบชิงชนะเลิศปิดฉากด้วยความความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในปีนี้

การแข่งขันฤดูกาล 2015-2016

16 กันยายน 2015 เมสซี่ได้ทำการลงเตะครบ 100 นัดในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เกมที่ไปเยือนโรม่า รอบแบ่งกลุ่ม UCL ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2015 เมสซี่ได้เป็นกัปตันทีมครั้งแรกที่สนามกัมนอว์

ในที่สุดช่วงเวลาที่เลวร้ายของเมสซี่ก็มาถึง เมื่อเขาได้รับการบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าซ้ายฉีกในเกมที่เล่นในบ้านเจอกับทีมลัสปัลมัส ทำให้ต้องพักรักษาตัวนานถึง 8 อาทิตย์ หลังจากนั้นเมสซี่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วลงฝึกซ้อมกับทีมได้ 5 วัน ก่อนจะทำศึกเอลกลาซิโก ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2015 เจอกับทีมคู่แค้นอย่างเรอัลมาดริด เกมนี้เขาได้ลงเป็นตัวสำรอง ในนาทีที่ 59 เขามีส่วนในการทำประตูด้วยการส่งให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู ทำให้บาร์เซโลน่าเอาชนะเรอัลมาดริดไปได้ในเกมนัดเยือนด้วยสกอร์ 0-4 เมสซี่ทำประตูที่ 500 ได้สำเร็จในนัดที่เจอกับทีมบาเลนเซียนับรวมทั้งระดับทีมชาติ และในสโมสรลีกสเปน ในเกมที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมบาเลนเชีย

ในฤดูกาล 2015-16 เมสซี่ได้เปลี่ยนแปลงการเล่นของตัวเองที่เน้นทำเกม แล้วคอยส่งบอลให้เพื่อน ไม่เลี้ยงบอลเข้าไปทำประตูเองเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน กลายเป็นการเปลี่ยนที่ถูกต้องแล้วทำให้เขาเป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์สูงสุดของลีกลาลีกาสเปน และได้รับคะแนนความสามารถสูงสุดทั้งฤดูกาล แถมยังคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในลีก 13 ครั้งใน 31 เกมเฉพาะในเกมที่ลงเล่นเท่านั้น

การแข่งขันฤดูกาล 2016-2017

17 สิงหาคม 2016 ถือเป็นการคว้าแชมป์แรกของเมสซี่กับทีมบาร์เซโลนาในฤดูกาลแข่งซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา โดยนัดที่พบกับทีมเซบิยาเขานำทัพเอาชนะไปได้ทั้ง 2 เลก ซึ่งในศึกนั้นเมสซี่ ทำสกอร์รวมไปได้ทั้งหมด 1 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ คว้าแชมป์ครั้งที่ 29 ให้กับทีมบาร์เซโลนา เป็นครั้งแรกสำหรับการรับหน้าที่เป็นกัปตันทีมของเมสซี่ในชุดสีเสื้อบาร์เซโลนา

13 กันยายน 2016 บาร์เซโลนา เปิดบ้านต้อนรับกลาสโกลว์ เซลติก ศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดแรกรอบแบ่งกลุ่ม เป็นการทำแฮตทริกครั้งที่ 40 ของเขาได้สำเร็จ ทำไปทั้งหมด 3 ประตูและ 1 แอสซิสต์ เป็นการทำแฮตทริกครั้งที่ 6 ของเมสซี่ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกด้วย

17 กันยายน 2016 บาร์เซโลนาเยือนเลกาเนส เมสซี่สามารถทำลายสถิติด้วยการทำสกอร์ 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ เป็นการลงสนามครั้งที่ 34 ของเขาและเป็นนักฟุตบอลคนแรกของลาลีกา สเปนที่ทำได้ ทำลายสถิติเดิมของ ราอูล กอนซาเลซ ที่เคยทำไว้ 33 สนาม

6 พฤศจิกายน 2016 พบกับสโมสรฟุตบอลเซบิยา เมสซี่สามารถทำประตูที่ 500 ในขณะที่ค้าแข้งอยู่ในสโมสรบาร์เซโลนาของเขาได้สำเร็จจากการยิงประตูตีเสมอก่อนจบครึ่งแรก และทำแอสซิสต์ให้ หลุยส์ ซัวเรซ ปิดประตูชัยได้ในครึ่งหลัง ถือเป็นประตูที่ 469 สำหรับการแข่งขันอย่างเป็นทางการ

27 พฤศจิกายน 2016 ในนัดที่ไปเยือน เรอัล โซเซียดัด เมสซี่ทำได้ 1 ประตู ทำให้เป็นคนแรกที่ทำประตูได้ถึง 200 นัดสำหรับรายการลาลีกาสเปน ต่อมาในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พบกับ โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค 6 ธันวาคม 2016 เป็นนัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการเกมที่ 549 ของเขา และเขายังครอบอันดับที่ 4 นักแตะที่ได้ลงค้าแข้งมากที่สุดในบาร์เซโลนาร่วมกับ มิเกลลี

29 ธันวาคม 2016 เมสซี่คว้ารางวัลเพลย์เมคเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากจาก IFFHS ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 และเมื่อจบปี 2016 เขายังได้เป็นนักเตะดาวซัลโวสูงสุด 59 ประตู แถมยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดในลาลิกาด้วยการยิงไปถึง 12 ประตู และยังคว้าดาวซัลโวในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยส์ลีกโดยทำไปได้ถึง 10 ประตู

23 เมษายน 2017 รายการลีกเอลกลาซิโก ที่ทางบาร์เซโลนาไปเยือนเรอัลมาดริด การแข่งขันในรอบนี้ถือว่าเป็นศึกในระดับตำนานที่ซึ่งทั้งสองทีมมีคะแนนที่ขับเคี่ยวในการแย่งชิงแชมป์ลาลีกา เมสซี่ทำให้บาร์เซโลนาสามารถเอาชนะไปได้ 2 – 3 ประตู ทำลายสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของเขาเองในศึกเอลกลาซิโกไปที่ 23 ประตู

27 พฤษภาคม 2017 ศึกชิงชนะเลิศถ้วยโกปาเดลเรย์ บาร์เซโลนา พบกับ เดปอร์ติโบอาลาเบส ที่สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอน ประตูแรกเป็นการยิงของเมสซี่ทำให้ทีมขึ้นนำไปก่อนในครึ่งแรก จบเกมด้วยสกอร์ 3 – 1 ประตู เมื่อจบฤดูกาลเมสซี่ได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดในลาลิกาด้วยการทำ 37 ประตู และยังได้รางวัลปิชิชิ (Pichichi) ซึ่งทำประตูสูงที่สุดในทำเนียบรางวัลรองเท้าทองคำยุโรป แถมยังได้เป็นดาวซัลโวในรายการถ้วยโกปาเดลเรย์ โดยยิงไปทั้งหมด 54 ประตู จากการแข่งทั้งหมด 52 นัด เมสซี่เป็นนักเตะที่ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำมากที่สุด ร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด เมสซี่ยังเป็นอันดับ 1 ในตารางนักเตะของฤดูกาล ซึ่งเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถึง 16 ครั้งจากการลงเล่นทั้งหมด 32 นัดในลีก


การแข่งขันฤดูกาล 2017-2018

บาร์เซโลน่าได้ประกาศสัญญาฉบับใหม่ให้กับเมสซี่ใ วันที่ 5 กรกฎาคม 2017 สัญญาใหม่ในครั้งนี้นั้นมีมูลค่าถึง 300 ล้านยูโร ถึงปี ค.ศ. 2021 บาร์ซาโลน่าปีนี้ได้ผู้จัดทีมคนใหม่คือเอร์เนสโต บัลเบร์เด มีการปรับตำแหน่งเมสซี่ในแต่ก่อนที่ตัวเขาเล่นในตำแหน่งปีกขวามาถึง 3 ฤดูกาลด้วยกัน โดยครั้งนี้เขาจะได้กลับไปในตำแหน่ง False 9 เป็นตำแหน่งที่เขาถนัดมากตอนอยู่กับโค้ชเก่าเป๊บ กวาดิโอลาในสมัยก่อน

26 สิงหาคม 2017 เมสซี่ยิงประตูแรกของตัวเองในลาลีกาสเปนที่บาร์เซโลน่าไปเยือนทีมอลาเบส ประตูในนัดนี้ได้ทำให้เมสซี่ก้าวสู่นักเตะที่ทำประตูในลาลีกาได้ 350 ประตู ลงเล่นไป 384 นัด ทำให้เมสซี่กลายเป็นดาวซัลโวประจำลาลีกา และเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของลีกลาลีกาสเปนอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับเกมถ้วยใหญ่ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก (UCL) รอบแบ่งกลุ่ม ทีมบาร์เซโลน่าเปิดบ้านรับทีมยูเวนตุสจากประเทศอิตาลี เกมนี้บาร์ซ่าเอาชนะไปได้ 3-0 เป็นนัดที่เมสซี่ยิงได้ 2 ลูก

เมสซี่ยังฟอร์มดีไม่เลิกในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก (UCL) ยิงได้อีก 4 ลูก ในวันที่ 19 กันยายน 2017 ในเกมที่เปิดบ้านรับทีมเอเซเด เอย์บาร์ ชนะไปได้ 6-1 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2017 เมสซี่ได้ทำสถิติลงเล่นมากสุดในสโมสรบาร์เซโลน่าด้วยการขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของต้นสังกัด ในเกมนี้บาร์ซ่าเปิดบ้านต้อนรับทีมอูเด ลัสปัลมัส เอาชนะไปได้ในที่สุด 3-0 ที่สำคัญคือเกมนัดนี้เป็นวันลงประชามติแยกแคว้นของกาตาลาเพื่อเป็นเอกราชจากสเปน ภายนอกสนามได้เกิดการทะเลาะวิวาทมีผู้บาดเจ็บไปถึง 800 คน ทำให้บาร์เซโลน่าได้ทำเรื่องขอเลื่อนการแข่งขันกับสมาคมฟุตบอลสเปน ซึ่งผลออกมาว่าจะไม่มีการเลื่อนเกมนัดนี้ และหากไม่ทำตามกฎจะถูกตัดคะแนน 6 คะแนน จากการถูกปรับแพ้ และอีก 3 คะแนน ถ้ายกเลิกการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต จนทำให้ทีมบาร์เซโลน่าต้องจัดการแข่งขันต่อ โดยเป็นการจัดแบบสนามปิดซึ่งจะไม่มีแฟนบอลเข้ามารับชมเพื่อความปลอดภัยของแฟนบอล เรื่องราวครั้งนี้ทางผู้บริหารทีมบาร์เซโลน่าหลายตำแหน่งได้ประกาศลาออกด้วยเหตุผลที่รับไม่ได้กับการแข่งขันในสถานการณ์แบบนี้

ศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก 18 ตุลาคม 2017 ทีมบาร์เซโลน่าเปิดบ้านเจอกับทีมโอลิมเปียกอสของประเทศกรีซ เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-1 เกมนี้เมสซี่ยิงลูกฟรีคิกที่สวยงามเป็นลูกที่ 100 ของเมสซี่เองในศึกยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก จ่ายให้กับเพื่อนทำประตูได้อีก 1 ลูก โดยลงแข่งขันเป็นเกมที่ 122 นัด แบ่งออกเป็นบอลถ้วย UEFA Champions League 97 ลูก อีก 3 ลูก ในศึกยูฟ่าซุปเปอร์คัพ สำหรับสถิตินี้มีคริสเตียโน โรนัลโดเคยทำได้ก่อนแล้ว แต่สถิติจำนวนแข่งของเมสซี่นั้นน้อยกว่าถึง 21 นัด และทำได้ตอนอายุที่น้อยกว่าอีกด้วย

การแข่งขันระดับทีมชาติ

เมสซี่ลงเล่นในฐานะทีมชาติแบบเต็มตัวในวันที่ 17 สิงหาคม 2005 นัดที่เจอกับทีมชาติฮังการี ตอนอายุ 18 ปี โดยที่เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 63 แต่กลับถูกไล่ออกจากสนามช่วงนาทีที่ 65 ด้วยการไปทำฟาวล์ใส่ฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่พอใจที่อีกฝั่งดึงเสื้อของเขา

มาที่แมตช์อันน่าจดจำของเมสซี่มันเป็นเกมที่เจอกับทีมชาติเวเนซุเอลารอบคัดเลือกฟุตบอลโลก เป็นการเปิดตัวผู้เล่นหมายเลข 10 ครั้งแรกในนามทีมชาติอาร์เจนตินา เป็นการคุมทีมครั้งแรกของตำนานนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินานั้นก็คือ ดิเอโก มาราโดนา ซึ่งอาร์เจนตินาชนะไป 4-0 เมสซี่คือคนยิงประตูแรกให้กับทีมในครั้งนี้ ต่อมาก็ถึงนัดที่มีความสำคัญต่อตัวเมสซี่อีกครั้งเมื่อเขานำทีมชาติอาร์เจนตินาเจอกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างทีมชาติบราซิล เป็นเจ้าตัวที่ยิงประตูชัยในนาทีสุดท้ายทำให้เอาชนะไปได้ 1-0 ถึงแม้จะเป็นเกมกระชับมิตรแต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขายิงประตูได้ในนามทีมชาติชุดใหญ่

ฟุตบอลโลก 2006

เมสซี่กับฟุตบอลโลกปีนี้เขามีอาการบาดเจ็บรบกวนและอดลงเล่นในช่วง 2 เดือนสุดท้าย เป็นเหตุให้เขาไม่ได้ลงเล่นรายการฟุตบอลโลกของปี 2006 สักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรแล้วเมสซี่ก็ได้รับการไว้วางใจให้ลงเล่นกับทีมชาติอาร์เจนตินา เกมที่เจอกับทีมชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เมสซี่ได้เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยสุดในรายการฟุตบอลโลกหลังจากที่เขาถูกส่งลงแทนมักซี โรดรีเกชในช่วงนาทีที่ 74 และสามารถยิงประตูช่วยให้ทีมชาติอาร์เจนตินาเอาชนะไปได้ 6-0 ส่งผลให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในบอลโลกปี 2006 ที่ทำประตูได้ และเป็นอันดับ 6 ของนักเตะที่อายุน้อยที่สุดของประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

โคปาอเมริกา 2007

รายการโคปาอเมริกาเมสซี่ลงนัดแรกในวันที่ 29 มิถุนายน 2007 ทีมชาติอาร์เจนตินาเอาชนะทีมชาติสหรัฐอเมริกา 4-1 เป็นนัดที่เขาแสดงความสามารถว่าเป็นผู้เล่นในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุด เกมที่ 2 ถัดมาเป็นอีกเกมที่เมสซี่ฉายแววได้อีกครั้งในการเจอกับทีมชาติโคลอมเบีย จนทีมชาติโคลอมเบียต้านไม่ไหวแพ้ไป 4-2 ทีมชาติอาร์เจนติน่าได้เข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ เกมที่ 3 ทีมชาติอาร์เจนตินาเจอกับทีมชาติปารากวัย เหตุจากนัดที่แล้วเมสซี่กำศึกหนักมาทำให้ไม่ได้ลงเป็นตัวจริงในเกมนี้ เขาถูกส่งตัวลงมาช่วงนาทีที่ 64 ก่อนหน้านี้ผลเป็น 0-0 แต่กลับเป็นการเปลี่ยนที่ถูกจุดทำให้ทีมเล่นได้ดีขึ้น เขาส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูได้ชัยชนะไปในครั้งนี้ มาถึงรอบชิงชนะเลิศทีมชาติอาร์เจนตินาเข้ามาเจอกับทีมชาติบราซิล ในนัดนี้เป็นวันที่อาร์เจนตินาเล่นได้ย่ำแย่เกมหนึ่งทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ต่อทีมคู่รักคู่แค้นตลอดกาลไป 3-0

ฟุตบอลโลก 2010

เมสซี่ออกตัวได้อย่างน่าประทับใจในเกมที่ทีมชาติอาร์เจนตินาเจอกับทีมชาติไนจีเรีย เป็นอาร์เจนตินาชนะไปได้ 1-0 แมตช์ถัดมาพบกับทีมชาติเกาหลีใต้ ถือว่าจบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติอาร์เจนตินาสกอร์ 4-1 มาถึงรอบ 16 ทีม ทีมชาติอาร์เจนตินาพบกับทีมชาติเม็กซิโกเป็นอาร์เจนตินาที่แข็งแกร่งกว่าเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-1 จบด้วยทีมชาติอาร์เจนตินาต้องเจอกับทีมชาติเยอรมนี พ่ายแพ้ไป 4-0 สิ้นสุดเส้นทางฟุตบอลโลก 2010 เพียงเท่านี้

โคปาอเมริกา 2011

เป็นความน่าผิดหวังของทีมชาติอาร์เจนตินาอีกครั้งเมสซี่ยังคงเป็นความหวังของทีมเช่นเคย แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบลึกๆ ในรายการโคปาอเมริกาปีนี้ได้ เพราะดันตกรอบไปก่อนสร้างความเจ็บปวดให้กับแฟนบอลทีมชาติอาร์เจนตินา และทำให้เมสซี่เริ่มคิดถึงเรื่องอำลาทีมขึ้นมาทันที

งานการกุศลที่ผ่านมาของ ลิโอเนล เมสซี่

จากอาการป่วยที่เขาเผชิญในวัยเด็ก ทำให้เขาได้ร่วมกิจกรรมงานกุศล โดยส่วนใหญ่แล้วเขาจะเน้นไปทางช่วยเหลือเด็ก เขาได้เล่นฟุตบอลการกุศลเพื่อนำเงินมาบริจาคให้กับองค์กรยูนิเซฟ (UNICEF) ในปี 2004 ซึ่งมีความสัมพันธ์อันหนักแน่นกับสโมสรบาร์เซโลน่า หลังจากนั้น เมสซี่ ได้ตัดสินใจสร้างมูลนิธิเป็นของตนเอง โดยตั้งชื่อมูลนิธิว่า เลโอ เมสซี่ ในปี 2007 ซึ่งช่วยเหลือในด้าน การศึกษา, สุขภาพและด้านการกีฬา เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ ที่มีปัญหาเหล่านี้ ซึ่งเขาได้นึกถึงตัวเองในวัยเด็กที่เป็นโรคขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ทำให้เขาเข้าใจเด็กเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีและได้ตัดสินใจบริจาครายได้ของเขาส่วนหนึ่งให้กับเด็กเหล่านี้เพื่อให้เด็กเหล่านี้ได้ได้รับโอกาสเช่นเดียวกับตัวเขาที่เคยได้รับโอกาสจาก บาร์เซโลน่า

มูลนิธิเลโอ เมสซี่ ได้บริจาคเพื่อพัฒนาในด้านการวิจัยเพื่ออบรมหลักสูตรในด้านการแพทย์ในประเทศ สเปน และ อาร์เจนตินา รวมไปถึงการลงเล่นฟุตบอลการกุศลเพื่อระดมทุนด้วยตัวเอง โดย มีสปอนเซอร์หลักคือ adidas หากพบเจออุปสรรคในการรักษาเด็ก เมสซี่พร้อมช่วยเหลือเด็กให้เดินทางไปรักษากับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเฉพาะทาง โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ค่าเดินทางหรือค่ารักษา

11 มีนาคม 2010 เขาได้ไปเยี่ยม ยูนิเซฟ (กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ) โดยมีจุดประสงค์หลักของเขาคือการสนับสนุนสิทธิของเด็ก หลังจากนั้นได้เดินทางไปที่ประเทศ เฮติ ที่พึ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างมาก เขาจึงร่วมโครงการกับ ยูนิเซฟ ที่จัดขึ้นเพื่อป้องกันเด็ก เกิด HIV และโรคต่างๆ รวมไปถึงการให้โอกาสของเด็กพิการได้มีการศึกษา

เมสซี่ ได้เฉลิมฉลองวันเกิดลูกคนโตของเขา ในปี 2013 พวกเขาได้ช่วยรณรงค์ให้โอกาสเด็กด้อยโอกาสให้เท่าเทียมกับบุคคลทั่วๆ ไป และได้กล่าวความตระหนักถึงเรื่องอัตราการเสียชีวิตของเด็กเหล่านี้

ในปี ค.ศ. 2012 เมสซี่ ได้สร้าง ยิมเนเซียม พร้อมห้องพักสำหรับนักเตะเยาชนในสโมสรนีเวลล์ โอลด์ บอยส์ โดยมี เอร์เนสโต เวกิโอ เป็นผู้ฝึกนักเตะ แถมยังเป็นผู้ฝึกให้กับเมสซี่ในวัยเด็ก โดย สโมสรนีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ได้รับเงินสนับสนุนจาก มูลนิธิเลโอ เมสซี่ เป็นหลัก เพื่อหาเด็กที่พรสวรรค์ในด้านการเล่นฟุตบอลและช่วยให้เด็กเหล่านี้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับตัวเมสซี่

ปี 2013 เมสซี่ได้ให้ทุนแก่สโมสรซาร์มิเอ็นโต้ เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ในสโมสร พร้อมปรับสนามให้สามารถแข่งขันได้ทุกสภาพอากาศ รวมไปถึงการให้ทุนแก่นักเตะเยาวชนหลายคน ในสโมสรเหล่านี้ นิวเวลส์โอลด์บอยส์, โรซาริโอ เซ็นทรัล, โบกายูนิออร์ส และกลุบอัตเลติโกริเบร์เปลต

7 มิถุนายน 2016เมสซี่ ได้บริจาคเงินทั้งหมดในการชนะคดีหมิ่นประมาทหนังสือพิมพ์ลาราซอน สื่อของประเทศสเปน ให้กับ องค์กรการกุศลแพทย์ไร้พรมแดน ด้วยจำนวนเงิน 65,000 ยูโร โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ

14 มีนาคา 2017 เมสซี่ ได้ระดมทุนจัดกิจกรรมการกุศลต่างๆ เพื่อนำเงินไปช่วยเด็กที่มีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็ง นำเงินไปสร้างศูนย์วิจัยโรคมะเร็ง และในเดือน สิงหาคม เขาได้นำเสื้อไปขาย ซึ่งนำเงินทั้งหมดบริจาคให้กับการกุศล

12 สิงหาคม 2017 มูลนิธิเลโอ เมสซี่ ได้บริจาคเงินให้กับโครงการ Un Sol Para Los Chicos 2017 โดยมี ลิโอเนล เมสซี่ ร่วมด้วย โดยได้แรงสนับสนุนจากองค์กร Unicef และองค์กรอื่นๆ ในประเทศอาร์เจนตินา โดยบริจาคอุปกรณ์ฉุกเฉินในการช่วยเหลือผู้ป่วยสำหรับอาการขาดน้ำและผู้ที่บาดเจ็บจากการทำคลองธรรมชาติ 300 ชุด

เกียรติประวัติ

สโมสรบาร์เซโลน่า
• ลาลิกา: 2004–2005, 2005–2006, 2008–2009, 2009–2010, 2010–2011, 2012–2013, 2014–2015, 2015–2016, 2017–2018, 2018–2019
• โกปาเดลเรย์: 2008–2009, 2011–2012, 2014–2015, 2015–2016, 2016–2017, 2017–2018
• ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา: 2005, 2006, 2009, 2010, 2011, 2013, 2016, 2018
• ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 2005–2006, 2008–2009, 2010–2011, 2014–2015
• ยูฟ่าซูเปอร์คัป: 2009, 2011, 2015
• ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัป: 2009, 2011, 2015
อาร์เจนตินา
• ฟุตบอลโลก: รองชนะเลิศ : 2014
• โคปาอเมริกา:รองชนะเลิศ : 2007, 2015, 2016, อันดับสาม : 2019
• ฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อน: ชนะเลิศ : 2008
• ฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี: ชนะเลิศ : 2005
• ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อเมริกาใต้: ชนะเลิศ : 2005

เกียรติประวัติส่วนตัว

รางวัลระดับนานาชาติ

• ฟีฟ่าบาลงดอร์ : 2010, 2011, 2012, 2015
• บาลงดอร์ : 2009
• นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี : 2009
• ฟิฟโปรเวิลด์ XI : 2007, 2008, 2009, 2010, 2011, 2012, 2013, 2014, 2015, 2016, 2017
• นักฟุตบอลแห่งปีของฟิฟโปร : 2009, 2010
• นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งฟุตบอลโลก : 2014
• นักฟุตบอลแห่งปีของ เวิลด์ซอกเกอร์ : 2009, 2011, 2012, 2015
• รางวัลลูกบอลทองคำ คลับเวิลด์คัป : 2009, 2011
• รางวัลลูกบอลเงิน คลับเวิลด์คัป : 2015
• รางวัลรองเท้าทองคำ คลับเวิลด์คัป : 2011
• GSA นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี : 2015
• IFFHS ผู้ทำประตูยอดเยี่ยมแห่งปี : 2011, 2012
• IFFHS ผู้ทำประตูสูงสุดแห่งปี : 2012, 2013
• IFFHS เพลย์เมกเกอร์ยอดเยี่ยม : 2015, 2016
• ESPY นักกีฬานานาชาติยอดเยี่ยม : 2012, 2015
• Marca Leyenda รางวัลตำนานแห่งมาร์กา (นักกีฬาอาชีพยอดเยี่ยม) : 2009
• L’Équipe รางวัลนักกีฬาอาชีพนานาชาติยอดเยี่ยม : 2011
• La Gazzetta Dello รางวัลนักกีฬาอาชีพยอดเยี่ยม : 2011
• CBS รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี : 2015
• FOXSoccer.com’s รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี : 2015
• Sports Illustrated #1 All-time Ultimate Soccer Draft 2012
• World Soccer Greatest XI of All Time 2013

รางวัลระดับทวีป

ทวีปยุโรป
• นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป : 2011, 2015
• รางวัลรองเท้าทองคำยุโรป : 2009-10, 2011-2012, 2012-2013, 2016-2017
• นักฟุตบอลแห่งปีของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2009
• กองหน้าตัวรุกแห่งปีของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2009
• นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของทวีปยุโรป : 2009, 2010, 2011, 2012
• ผู้เล่นแห่งนัดในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2011
• ผู้เล่นแห่งนัดในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกคัดเลือกโดยผู้ชื่นชอบ : 2009, 2011
• ทีมแห่งปีของยุโรป : 2008, 2009, 2010, 2011, 2012, 2014, 2015, 2016
• ทีมแห่งปีของยุโรป : 2006, 2008, 2009, 2010, 2011, 2012, 2013, 2015
• Onze d’Or : 2009, 2011, 2012
• UEFA Ultimate Team of the Year 2015
• UEFA Champions League Team of the Season : 2014–2015
• UEFA Goal of the Year : 2007
• UEFA Goal of the Season : เมสซี่ vs บาเยิร์นมิวนิก 2014-2015, เมสซี่ vs โรมา 2015-2016
• UEFA Champions League Goal of the Season : 2014–2015
• UEFA Champions League Genius Moment of the Season : 2014–2015
ทวีปอเมริกาใต้
• โคปาอเมริกา ทีมแห่งการแข่งขัน : 2011, 2015, 2016
• โคปาอเมริกา นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน : 2015 (ปฏิเสธการรับรางวัล )
• L’Équipe #3 Top 50 South-American Footballers in History : 2015
รางวัลระดับประเทศ

• ผู้ยิงประตูสูงสุดในลาลิกา : 2010, 2012, 2013
• LFP นักเตะยอดเยี่ยมแห่งลาลิกา : 2009, 2010, 2011, 2012, 2013, 2015
• LFP กองหน้ายอดเยี่ยมแห่งลาลิกา : 2009, 2010, 2011, 2012, 2013, 2015, 2016
• LFP ทีมยอดเยี่ยมแห่งลาลิกา XI : 2014-2015
• LFP นักฟุตบอลลาลิกายอดเยี่ยมประจำเดือน : เดือนมกราคม 2016 และเดือนเมษายน 2017
• นักฟุตบอลลาลิกาแห่งปี : 2009, 2010, 2011, 2015
• Trofeo EFE นักฟุตบอลกลุ่มประเทศ Ibero-American ยอดเยี่ยมแห่งปี : 2007, 2009, 2010, 2011, 2012
• Don Balón นักฟุตบอลต่างชาติยอดเยี่ยมแห่งลาลิกา : 2007, 2009, 2010
• Don Balón Team of the Decade 2010
• Olimpia Awards นักฟุตบอลแห่งปีของอาร์เจนตินา : 2005, 2007, 2008, 2009, 2010, 2011, 2012, 2013, 2015
• Olimpia Awards นักกีฬาแห่งปีของอาร์เจนตินา : 2011
รางวัลระดับเยาวชน/ดาวรุ่ง
• นักฟุตบอลยุโรปอายุไม่เกิน 21 ปี แห่งปี : 2005
• นักฟุตบอลยุโรปอายุไม่เกิน 21 ปี แห่งปี : 2007
• นักฟุตบอลดาวรุ่งแห่งปีของฟิฟโปร : 2006, 2007, 2008
• นักฟุตบอลดาวรุ่งพิเศษแห่งปีของฟิฟโปร : 2007, 2008
• นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งฟุตบอลโลกอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
• ผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
• South American U-20 Championship รองเท้าเงิน : 2005
• โคปาอเมริกา นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งรายการแข่งขัน : 2007
• นักฟุตบอลดาวรุ่งแห่งปีของ เวิลด์ซอกเกอร์ : 2006, 2007, 2008

ประวัติความสำเร็จของ เมสซี่

สถิติสูงสุดตลอดกาล
• ผู้ทำประตูสูงสุดให้สโมสรและทีมชาติใน 1 ปี 2012
บาร์เซโลนา
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในลาลิกา สเปน 349 ประตู ปี 2016-2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของบาร์เซโลนา 507 ประตู ปี 2016-2017
• ผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาลในลาลิกา สเปน 135 ประตู ปี 2016-2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในฟีฟ่าคลับเวิร์ลคัพ 5 ประตู ปี 2015
• ผู้ทำประตูสูงสุดให้สโมสรใน 1 ปีปฏิทิน 79 ประตู ปี 2012
• ผู้ทำประตูสูงสุดให้สโมสรใน 1 ฤดูกาล 73 ประตู ปี 2011–2012
• ทำประตูในลีกทุกนัดติดต่อกันได้ยาวนานที่สุด 21 นัด 33 ประตู ปี 2012–2013
• ผู้ทำประตูสูงสุดต่อ 1 ฤดูกาลของลาลิกา สเปน 50 ประตู ปี 2011–2012
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในฟุตบอลถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 13 ประตู อัพเดท 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันเอลกลาซิโก 25 ประตู อัพเดท 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันดาร์บี้กาตาลา 20 ประตู อัพเดท เดือนกันยายน 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันเอลกลาซิโก นับเฉพาะเกมลาลิกา 16 ประตู อัพเดท เดือนเมษายน 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันดาร์บี้กาตาลา นับเฉพาะเกมลาลิกา 16 ประตู อัพเดท เดือนกันยายน 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในฟุตบอลถ้วยฌูอัน กัมเป 8 ประตู ปี 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม 58 ประตู อัพเดท 19 ตุลาคม 2017
• ผู้ทำประตูจากฟรีคิกได้สูงสุดตลอดกาลของบาร์เซโลนา 28 ประตู อัพเดท 19 ตุลาคม 2017
อาร์เจนตินา
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนตินา 61 ประตู อัพเดท เดือนตุลาคม 2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดให้ทีมชาติอาร์เจนตินาใน 1 ปีปฏิทิน 12 ประตู ปี 2012
• ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาล ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เขตอเมริกาใต้
• 21 ประตู 10 ตุลาคม 2017 แบ่งกับ หลุยส์ ซัวเรซ
• ผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาลในโคปาอเมริกา 11 ช่วยทำประตู อัพเดท ปี 2016
ฤดูกาล / การแข่งขัน
• ผู้ทำประตูต่อฤดูกาลสูงสุดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2009, 2010, 2011, 2012, 2015
• ผู้ทำประตูสูงสุดต่อฤดูกาลในลาลิกา: 2009-2010, 2011-2012, 2012-2013, 2016-2017
• ผู้ทำประตูสูงสุดต่อฤดูกาลในโกปาเดลเรย์: 2010-2011, 2013-2014, 2015-2016, 2016-2017
• ผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดต่อฤดูกาลในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2012
• ผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดต่อฤดูกาลในลาลิกา : 2011, 2015, 2016
• ผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดต่อฤดูกาลในโกปาเดลเรย์ : 2011
• ผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดต่อรายการแข่งขันในโคปาอเมริกา : 2011, 2015, 2016